เมนู

อรรถกถาวิโมกขนิเทศ


พึงทราบวินิจฉัยในนิเทศแห่งอุเทศ มีอาทิว่า กตโม ดังต่อไปนี้.
บทว่า อิติปฏิสญฺจิกฺขติ คือพิจารณาเห็นอย่างนี้. บทว่า สุญฺญมิทํ
นามรูปนี้ว่าง คือ ขันธบัญจกนี้ว่าง. ว่างจากอะไร ว่างจากความเป็นตัวตน
หรือจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อตฺเตน วา จากความเป็นตัวตน คือ ว่าง
จากความเป็นตัวตน เพราะไม่มีตัวตนที่กำหนดว่าเป็นคนพาล. บทว่า อตฺต-
นิเยน วา
จากสิ่งทีเนื่องด้วยตน คือ ว่างจากสิ่งที่เป็นของของตนที่กำหนด
ไว้นั้น ความไม่มีสิ่งที่เนื่องด้วยตน เพราะไม่มีของตนนั้นเอง. อนึ่ง ชื่อว่า
สิ่งที่เนื่องด้วยตนจะพึงเป็นของเที่ยงหรือพึงเป็นความสุข. แม้ทั้งสองอย่างนั้น
ก็ไม่มี. ท่านอธิบายไว้ว่า อนิจจานุปัสสนา ด้วยปฏิเสธสิ่งที่เป็นของเที่ยง
ทุกขานุปัสสนา ด้วยปฏิเสธความสุข. บทว่า สุญฺญมิทํ อตฺเตนวา นามรูป
นี้ว่างจากความเป็นตัวตน ท่านกล่าวถึงอนัตตานุปัสสนานั่นเอง. บทว่า โส
คือ ภิกษุนั้นเห็นแจ้งด้วยอนุปัสสนา 3 อย่างนี้. บทว่า อภินิเวสํ น กโรติ
ไม่ทำความยึดมั่น คือ ไม่ทำความยึดมั่นตนด้วยอำนาจแห่งอนัตตานุปัสสนา.
บทว่า นิมิตฺตํ น กโรติ ไม่ทำเครื่องกำหนดหมาย คือ ไม่ทำเครื่องกำหนด
หมายว่าเที่ยงด้วยอำนาจแห่ง อนิจจานุปัสสนา. บทว่า ปณิธึ น กโรติ
ไม่ทำความปรารถนาคือ ไม่ทำความปรารถนาด้วยอำนาจแห่งทุกขานุปัสสนา.
วิโมกข์ 3 เหล่านี้ย่อมได้ด้วยอำนาจแห่งตทังคะ ในขณะแห่งวิปัสสนา
โดยปริยาย แต่ย่อมได้ด้วยอำนาจแห่งสมุจเฉท ในขณะแห่งมรรคโดยตรง.
ฌาน 4 เป็นอัชฌัตตวุฏฐานวิโมกข์ เพราะออกจากนิวรณ์เป็นต้นในภายใน.

อรูปสมาบัติ 4 ชื่อว่า พหิทธาวุฏฐานวิโมกข์ เพราะออกจากอารมณ์ทั้งหลาย
แม้อารมณ์ท่านก็กล่าวว่า ภายนอกในบทนี้เหมือนอายตนะภายนอก. วิกขัมภน-
วิโมกข์สองเหล่านี้ สมุจเฉทวิโมกข์เป็นทุภโตวุฏฐานวิโมกข์.
ท่านกล่าวการออกจากภายในโดยสรุป ด้วยบทมีอาทิว่า นีวรเณหิ
วุฏฺฐา
ออกจากนิวรณ์ทั้งหลาย. ด้วยบทมีอาทิว่า รูปสญฺญาย จากรูปสัญญา
ท่านไม่กล่าวถึงสมาบัตินั้น เพราะการก้าวล่วงอารมณ์มีกสิณเป็นต้น ปรากฏแล้ว
จึงกล่าวถึงการก้าวล่วงรูปสัญญาเป็นต้นดังที่ท่านกล่าวแล้วในพระสูตรทั้งหลาย.
บทว่า สกฺกายทิฏฺฐิ วิจิกิจฺฉา สีลพฺพตปรามาสา เป็นบทสมาส.
ตัดบทว่า สกฺกายทิฏฺฐิกา (จากสักกายทิฏฐิ) วิจิกิจฺฉาย (จากวิจิกิจฉา)
สีลพฺพตปรามาสา (จากสีลัพพตปรามาส). นี้แลเป็นปาฐะ.
ด้วยบทว่า วิตกฺโก จ เป็นอาทิ ท่านกล่าวถึงอุปจารภูมิแห่งฌาน
และสมาบัติ. ด้วยบทว่า อนิจฺจานุปสฺสนา เป็นอาทิท่านกล่าวถึงวิปัสสนา
อันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งมรรค 4.
บทว่า ปฏิลาโภ วา การได้ ชื่อว่า ปฏิลาโภ เพราะขวนขวาย
ปรารถนาได้ด้วยถึงความชำนาญ 5 อย่าง เพราะความขวนขวายในฌานและ
ความขวนขวายในสมาบัติทั้งปวงเป็นความระงับด้วยถึงความชำนาญ ฉะนั้น
การได้ท่านจึงกล่าวว่าวิโมกข์เป็นความระงับ. ส่วนวิบากเป็นความระงับฌาน
และสมาบัติ เพราะเหตุนั้น จึงตรงทีเดียว. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า การได้
ฌานและสมาบัติเพราะความขวนขวายในอุปจารสงบ เพราะฉะนั้นการได้ฌาน
และสมาบัติท่านจึงกล่าวว่า ปฏิปัสสัทธิวิโมกข์ ความพ้นเป็นความระงับ.
บทว่า อชฺฌตฺตํ ในภายใน คือ เป็นไปเพราะเนื่องกับตน. บทว่า
ปจฺจตฺตํ เฉพาะตน คือ เป็นไปเฉพาะตน. ท่านแสดงภายในเนื่องด้วยตน

แม้ด้วยบททั้งสองนั้น. บทว่า นีลนิมิตฺตํ นิมิตสีเขียว คือ สีเขียวนั่นเอง.
บทว่า นีลสญฺญํ ปฏิลภิ ได้นีลสัญญา คือ ได้สัญญาว่าสีเขียวในนีลนิมิตนั้น.
บทว่า สุคฺคหิตํ กโรติ ทำนิมิตนั้นให้เป็นอันถือไว้ดีแล้ว คือ ทำให้เป็น
อันถือไว้ด้วยดีในบริกรรมภูมิ. บทว่า สูปธาริตํ อุปธาเรติ ทรงจำไว้ดีแล้ว
คือ ทรงจำทำไว้ด้วยดีในอุปจารภูมิ. บทว่า สฺวาตฺถิตํ อวตฺถาเปติ กำหนด
ไว้ดีแล้ว คือ ตัดสินด้วยดีในอัปปนาภูมิ. ปาฐะว่า ววตฺถาเปติ บ้าง. จริงอยู่
ภิกษุเมื่อทำนีลบริกรรมในภายในย่อมทำผมดีหรือดวงตา. บทว่า พหิทฺธา
นีลมิตฺเต
ในนิมิตสีเขียวภายนอก คือ ในนีลกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดา
ดอกไม้สีเขียว ผ้าสีเขียว ธาตุสีเขียว. บทว่า จิตฺตํ อุปสํหรติ คือน้อมจิต
เข้าไป. แม้ในสีเหลืองเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อาเสวติ ย่อมเสพ
คือ เสพสัญญานั้นแหละแต่ต้น. บทว่า ภาเวติ คือย่อมเจริญ. บทว่า
พหุลีกโรติ ทำให้มาก ๆ คือทำบ่อย ๆ. บทว่า รูปํ ได้แก่ รูปมีนิมิตสีเขียว.
บทว่า รูปสญฺญี คือ มีความสำคัญว่าเป็นรูป ความสำคัญในรูปนั้น ชื่อว่า
รูปสญฺญา ชื่อว่า รูปสญฺญี เพราะมีรูปเป็นสัญญา.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่ามีนิมิตสีเหลืองในภายในภิกษุเมื่อกระทำ
ปีตบริกรรม ย่อมทำในที่มันข้น หรือที่ผิวหรือในที่ตาสีเหลือง เมื่อกระทำโลหิต
บริกรรมย่อมทำที่เนื้อ เลือด ลิ้น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือในที่ตาสีแดง เมื่อทำ
โอทาตบริกรรมย่อมทำที่กระดูก ฟัน เล็บ หรือในที่ตาสีขาว. บทว่า อชฺฌตฺตํ
อรูปํ
ไม่มีรูปในภายใน ความว่า ไม่มีรูปนิมิตในภายใน.
บทว่า เมตฺตาสหคเตน ประกอบด้วยเมตตา คือประกอบด้วยเมตตา
ด้วยอำนาจแห่งปฐมฌานทุติยฌานตติยฌานและจตุตถฌาน. บทว่า เจตสา คือ
มีใจ. บทว่า เอกํ ทิสํ ตลอดทิศหนึ่ง ท่านกล่าวหมายถึงสัตว์หนึ่งที่กำหนด

ครั้งแรกแห่งทิศหนึ่ง ด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปยังสัตว์อันไม่เนื่องด้วยทิศ
หนึ่ง. บทว่า ผริตฺวา แผ่ไปแล้ว คือถูกต้องทำให้เป็นอารมณ์. บทว่า
วิหรติ อยู่ คือยังการอยู่ด้วยอิริยาบถอันตั้งมั่นด้วยพรหมวิหารให้เป็นไป.
บทว่า ตถา ทุติยํ ทิศที่สองก็เหมือนกัน คือ แผ่ไปตลอดทิศใดทิศหนึ่งใน
บรรดาทิศทั้งหลายมีทิศตะวันออกเป็นต้น ฉันใด ทิศที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 อัน
เป็นลำดับนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า อิติ อุทฺธํ ทั้งเบื้องบนท่านอธิบาย
ว่า ทิศเบื้องบนโดยนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อโธ ติริยํ ทิศเบื้องล่าง เบื้อง
ขวาง คือ แม้ทิศเบื้องล่าง แม้ทิศเบื้องขวางก็อย่างนั้นเหมือนกัน.
อนึ่ง ในบทเหล่านั้น บทว่า อโธ คือเบื้องล่าง. บทว่า ติริยํ คือ
ทิศน้อย ความว่า ยังจิตสหรคต ด้วยเมตตาให้แล่นไปบ้าง ให้แล่นกลับบ้าง
ในทิศทั้งปวง ดุจให้ม้าวิ่งไปวิ่งกลับในบริเวณของม้าฉะนั้น.
ด้วยเหตุเพียงนี้ ท่านกำหนดถือเอาทิศหนึ่ง ๆ แล้วแสดงการแผ่เมตตา
ไปโดยจำกัด. ส่วนบทมีอาทิว่า สพฺพธิ ในที่ทุกสถานท่านกล่าวเพื่อแสดง
โดยไม่จำกัด. บทว่า สพฺพธิ คือในที่ทั้งปวง. บทว่า สพฺพตฺตาย ทั่ว
สัตว์ทุกเหล่า คือทุกตัวตนในประเภทสัตว์มีเลว ปานกลาง เลิศ มิตร ศัตรู
และความเป็นกลางเป็นต้นทั้งปวง อธิบายว่า เพราะไม่ทำการแบ่งแยกว่านี้เป็น
สัตว์อื่น เป็นผู้เสมอกับตน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สพฺพตฺตตาย คือโดยความ
เป็นผู้มีจิตรวมอยู่ทั้งหมด อธิบายว่า ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอกแม้เล็กน้อย.
บทว่า สพฺพาวนฺตํ ตลอดโลกคือสัตว์ทุกเหล่า อธิบายว่าประกอบด้วยสัตว์
ทั้งปวง. ปาฐะว่า สพฺพวนฺตํ บ้าง. บทว่า โลกํ ได้แก่ สัตว์โลก อนึ่งใน
นิเทศนี้ท่านกล่าวว่า เมตฺตาสหคเตน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตาอีกเพราะ
แสดงปริยายด้วยบทมีอาทิอย่างนี้ว่า วิปุเลน อันไพบูลย์ หรือเพราะในบทนี้

ท่านไม่กล่าว ตถาศัพท์ หรือ อิติศัพท์ อีก ดุจในการแผ่ไปโดยจำกัด ฉะนั้น
ท่านจึงกล่าว บทว่า เมตฺตาสหคเตน เจตสา ด้วยใจประกอบด้วยเมตตา
อีก หรือท่านกล่าวบทนี้โดยการสรุป. ในบทว่า วิปุเลน นี้พึงเห็นความ
ไพบูลย์ด้วยการแผ่ไป พึงเห็นจิตนั้นถึงความเป็นใหญ่ ด้วยภูมิ. จริงอยู่ จิตนั้น
ถึงความเป็นไปใหญ่ เพราะสามารถข่มกิเลสได้ เพราะมีผลไพบูลย์และเพราะ
การสืบต่อยาว. อีกอย่างหนึ่ง จิตชื่อว่า มหคฺคตํ เพราะถึง คือ ดำเนินไปด้วย
ฉันทะ วิริยะ จิตตะและปัญญาอันยิ่งใหญ่. ชื่อว่า อปฺปมาณํ หาประมาณมิ
ได้ด้วยสามารถแห่งความคล่องแคล่วและด้วยสามารถแห่งสัตตารมณ์อันประมาณ
มิได้. ชื่อว่า อเวรํ ไม่มีเวร เพราะละข้าศึกคือความพยาบาท. ชื่อว่า อพฺยา-
ปชฺฌํ
ไม่มีความเบียดเบียนเพราะละโทมนัสเสียได้ ท่านอธิบายว่า ไม่มีทุกข์.
บทว่า อปฺปฏิกูลา โหนฺติ สัตว์ทั้งหลายไม่เป็นที่เกลียดชัง คือสัตว์ทั้งหลาย
ไม่เป็นที่เกลียดชังจิตของภิกษุแล้วย่อมอุปัฏฐาก แม้ในบทที่เหลือพึงประกอบ
ด้วย กรุณา มุทิตา และอุเบกขาโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ชื่อว่า ไม่มีเวร
เพราะละข้าศึกคือความเบียดเบียนด้วยกรุณา เพราะละข้าศึกคือความริษยาด้วย
มุทิตา.
บทว่า อุเปกฺขาสหคเตน คือมีจิตประกอบด้วยอุเบกขาด้วยอำนาจ
แห่งจตุตถฌาน. ชื่อว่า ไม่มีเวร เพราะละข้าศึกคือราคะ. ชื่อว่า ไม่เบียดเบียน
เพราะละโสมนัสเกี่ยวกับเคหสิต (กามคุณ) อกุศลแม้ทั้งหมดชื่อว่า มีความ
เบียดเบียน เพราะประกอบด้วยความเร่าร้อน คือกิเลส นี้เป็นความพิเศษของ
บทเหล่านั้น.
บทว่า สพฺพโส คือโดยอาการทั้งปวง หรือแห่งสัญญาทั้งปวง ความ
ว่า แห่งสัญญาไม่มีเหลือ. บทว่า รูปสญฺญานํ รูปสัญญา คือ รูปาวจรฌาน

ดังที่กล่าวมาแล้วโดยหัวข้อว่า สัญญา และอารมณ์ของรูปาวจรฌานนั้น.
จริงอยู่ แม้รูปาวจรฌานท่านกล่าวว่า รูป ในบทมีอาทิว่า รูปี รูปานิ
ปสฺสติ
ภิกษุมีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลาย แม้อารมณ์ของรูปาวจรฌานท่าน
ก็กล่าวว่ารูป ในบทมีอาทิว่า พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ สุวณฺณทุพฺพณฺ-
ณานิ
ภิกษุเห็นรูปทั้งหลายในภายนอกมีผิวงามและผิวทราม เพราะฉะนั้น
ในที่นี้ บทว่า รูปสญฺญานํ นี้ เป็นชื่อของรูปาวจรฌานดังที่ท่านกล่าว
แล้วโดยหัวข้อว่า สัญญา อย่างนี้ว่า รูเป สญฺญา รูปสญฺญา ความสำคัญ
ในรูปชื่อว่ารูปสัญญา. ชื่อว่า รูปสญฺญํ เพราะมีรูปเป็นสัญญาท่านอธิบายว่า
รูป เป็นชื่อของภิกษุนั้น พึงทราบว่าบทนี้เป็นชื่อของอารมณ์ อันเป็นประเภท
มีปฐวีกสิณเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สมติกฺกมา เพราะล่วงคือเพราะคลายกำหนัดและเพราะดับ
ตัณหา ท่านอธิบายไว้อย่างไร. ท่านอธิบายไว้ว่า ภิกษุเพราะคลายกำหนัดเพราะ
ดับ เพราะเหตุคลายกำหนัดเพราะดับ รูปสัญญากล่าวคือฌาน 15 ด้วยอำนาจ
แห่งกุศลวิบากกิริยาเหล่านี้ และรูปสัญญากล่าวคืออารมณ์ ด้วยอำนาจปฐวี-
กสิณเป็นต้นเหล่านี้ หรือรูปสัญญาไม่มีส่วนเหลือ โดยอาการทั้งปวง เข้าถึง
อากาสานัญจายตนะอยู่ เพราะไม่สามารถเข้าถึงรูปสัญญานั้นเพราะยังไม่ก้าวล่วง
รูปสัญญาได้โดยประการทั้งปวง.
อนึ่ง เพราะสมาบัตินั้นควรบรรลุด้วยการก้าวล่วงอารมณ์ มิใช่เหมือน
ปฐมฌานเป็นต้นในอารมณ์เดียวเท่านั้น. การก้าวล่วงสัญญาย่อมไม่มีก็ผู้ยังไม่
คลายกำหนัดในอารมณ์ ฉะนั้นพึงทราบว่าท่านทำการพรรณนาความนี้ แม้ด้วย
สามารถแห่งการก้าวล่วงอารมณ์. บทว่า ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา เพราะ
ดับปฏิฆสัญญา คือ สัญญา เกิดความกระทบวัตถุมีจักษุเป็นต้น ชื่อว่า ปฏิฆ-

สัญญา. บทนี้เป็นชื่อของรูปสัญญาเป็นต้น. เพราะดับ เพราะละ เพราะไม่
ให้เกิดปฏิฆสัญญา 10 โดยประการทั้งปวง คือ กุสลวิบากแห่งสัญญาเหล่านั้น
5 อกุสลวิบาก 5 ท่านอธิบายว่าทำไม่ให้เป็นไปได้ อนึ่ง สัญญาเหล่านี้ ย่อม
ไม่มีแม้แก่ผู้เข้าถึงปฐมฌานเป็นต้นโดยแท้ เพราะในสมัยนั้นจิตยังไม่เป็นไป
ด้วยอำนาจแห่งทวาร 5 แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น เพื่อให้เกิดอุตสาหะในฌานนี้
ดุจในจตุตถฌานแห่งสุขและทุกข์ที่ละได้แล้วในที่อื่นและดุจในตติยมรรคแห่ง
สักกายทิฏฐิเป็นต้น พึงทราบคำแห่งสัญญา เหล่านั้น ในที่นี้ด้วยอำนาจแห่ง
การสรรเสริญฌานนี้.
อีกอย่างหนึ่ง สัญญาเหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่ผู้เข้าถึงรูปาวจรโดยแท้ถึงดัง
นั้น ย่อมไม่มีเพราะละได้เเล้วก็หามิได้ เพราะการเจริญรูปาวจร ย่อมไม่เป็น
ไปเพื่อคลายกำหนัดในรูป และเพราะยังเนื่องในรูป สัญญาเหล่านั้นจึงยังเป็น
ไปอยู่ ส่วนภาวนานี้ยังเป็นไปเพื่อคลายกำหนัดในรูป เพราะฉะนั้นจึงควรกล่าวว่า
สัญญาเหล่านั้นละได้แล้วในบทนี้ ไม่ใช่กล่าวแต่อย่างเดียว ควรแม้เพื่อทรง
ไว้อย่างนี้โดยส่วนเดียวด้วย เพราะยังละสัญญา เหล่านั้น ไม่ได้ก่อนจากนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เสียงของผู้เข้าถึงปฐมฌานเป็นดุจหนาม. อนึ่ง
เพราะละได้แล้วในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถึงความที่อรูปสมาบัติไม่หวั่น
ไหวและความที่พ้นไปอย่างสงบ.
บทว่า นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา เพราะไม่มนสิการถึง
นานัตตสัญญา คือ สัญญาเป็นไปในโคตรมีความต่าง ๆ กันหรือสัญญามีความ
ต่าง ๆ กัน เพราะสัญญาเหล่านั้นเป็นไปในโคจรมีสภาพต่าง ๆ กัน อันเป็น
ความต่างกัน มีรูปสัญญาเป็นต้น และเพราะสัญญา 44 อย่างนี้คือ กามาวจร
กุสลสัญญา 8 อกุสลสัญญา 12 กามาวจรกุสลวิปากสัญญา 11 อกุสลวิปาก

สัญญา 2 กามาวจรกิริยาสัญญา 1 มีความต่างกัน มีสภาพต่างกันไม่เหมือน
กันและกัน ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า นานตฺตสญฺญา เพราะไม่มนสิการ ไม่
คำนึงและไม่ให้เกิดในจิตแห่งมานัตตสัญญาเหล่านั้น โดยประกอบทั้งปวง
เพราะไม่คำนึงถึงสัญญาเหล่านั้นไม่ให้เกิดในจิต ไม่มนสิการ ไม่พิจารณา
ท่านจึงกล่าวว่า ตสฺมา อนึ่ง เพราะรูปสัญญาและปฏิฆสัญญาก่อนไม่มี แม้ใน
ภพอันเกิดด้วยฌานนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงในกาลเข้าถึงฌานนี้ในภพนั้นอยู่ละ ฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวความไม่มี แม้โดยส่วนทั้งสอง คือ เพราะก้าวล่วง เพราะดับสัญญา
เหล่านั้น.
จริงอยู่ แม้ในนิเทศนั้นภิกษุเมื่อเข้าถึงฌานนี้อยู่ย่อมเข้าถึง เพราะ
มนสิการสัญญาเหล่านั้นอยู่. แต่เมื่อมนสิการสัญญาเหล่านั้นก็ยังเป็นผู้ไม่เข้า
ถึง. อนึ่ง ในนิเทศนี้ท่านกล่าวถึงการละรูปาวจรธรรมทั้งปวง ด้วยบทนี้ว่า
รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา เพราะล่วงรูปสัญญา ดังนี้โดยสังเขป. ด้วยบทนี้ว่า
ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา เพราะดับ
ปฏิฆสัญญา เพราะไม่มีมนสิการนานัตตสัญญา พึงทราบว่าท่านกล่าวการละ
และการไม่มนสิการจิตเจตสิกอันเป็นกามาวจรทั้งปวง.
ในบทว่า อนนฺโต อากาโส อากาศไม่มีที่สุดนี้พึงทราบความดังนี้
ชื่อว่า อนนฺโต เพราะอากาศนั้นไม่ปรากฏว่าเกิดหรือเสื่อมเพราะเป็นเพียง
บัญญัติ ชื่อว่า อนนฺโต แม้ด้วยสามารถการแผ่ไปไม่มีที่สุด. จริงอยู่ พระ-
โยคาวจรนั้น ย่อมไม่แผ่ไปโดยเอกเทศ ย่อมแผ่ทั่วไป. บทว่า อากาโส คือ
อากาศที่เพิกกสิณขึ้น. บทมีอาทิว่า อากาสานญฺจายตนํ มีความดังได้กล่าว
แล้ว. บทว่า อุปสมฺปชฺช วิหรติ เข้าถึงอยู่ คือถึงอายตนะนั้นแล้วให้สำเร็จ
อยู่ด้วยอิริยาบถอันสมควรนั้น. ชื่อว่า สมาปตฺติ เพราะควรเข้าถึงอายตนะ
นั้นนั่นแหละ.

บทว่า อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมฺม เพราะล่วงอากาสานัญ-
จายตนะ แม้ฌาน แม้อารมณ์ ก็ชื่อว่าอากาสานัญจายตนะโดยนัยดังกล่าวแล้ว
ในก่อน. จริงอยู่ แม้อารมณ์ ก็ชื่อว่าอากาสานัญจายตนะโดยนัยที่กล่าวแล้วใน
ก่อน เพราะอากาสานัญจะ (ความว่างเปล่าแห่งอากาศ) นั้นเป็นอายตนะด้วย
อรรถว่าเป็นที่ตั้ง เพราะเป็นอารมณ์ของอรูปฌานที่หนึ่ง ดุจที่อยู่ของทวยเทพ
ฉะนั้น. อนึ่ง ชื่อว่าอากาสานัญจายตนะ เพราะอากาสานัญจะ (ความ
ว่างเปล่าของอากาศ) นั้นเป็นอายตนะด้วยอรรถว่าเป็นถิ่นที่เกิด เพราะเป็น
เหตุเกิดของฌานนั้น ดุจบทมีอาทิว่า กมฺโพชา อสฺสานํ อายตนํ
กัมโพชนครเป็นถิ่นเกิดของม้าทั้งหลาย.
พระโยคาวจรควรล่วงแม้ทั้งสองอย่าง คือ ฌานและอารมณ์ ด้วยทำไม่
ให้เป็นไปและด้วยไม่มนสิการแล้วเข้าถึงวิญญานัญจายตนะนี้อยู่ ฉะนั้นพึงทราบ
ว่าท่านทำแม้ทั้งสองอย่างนี้รวมกันแล้วกล่าวบทนี้ว่า อากาสานญฺจายตนํ
สมติกฺกมฺม
. บทว่า อนนฺตํ วิญฺญาณํ วิญญาณไม่มีที่สุด วิญญาณนั่นแหละ
ท่านกล่าวว่า ภิกษุมนสิการวิญญาณที่แผ่ไปว่า อนนฺโต อากาโส อากาศไม่
มีที่สุดว่า อนนฺตํ วิญฺญาณํ วิญญาณไม่มีที่สุด หรือชื่อว่า อนนฺตํ ด้วยอำนาจ
มนสิการ. จริงอยู่ พระโยคาวจรนั้น เมื่อมนสิการ อากาศ อารมณ์และวิญญาณ
นั้น โดยไม่มีส่วนเหลือ ย่อมทำความไม่มีที่สุดไว้ในใจ. บทว่า วิญฺญาณญฺ-
จายตนํ สมติกฺกมฺม
เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะ แม้ฌาน แม้อารมณ์
ก็เป็นวิญญาณัญจายตนะตามนัยดังกล่าวแล้วแม้ในบทนี้และในบทก่อน. จริงอยู่
แม้อารมณ์ก็เป็นวิญญาณณัญจายตนะ ตามนัยดังกล่าวแล้วในก่อนเพราะวิญญา-
ณัญจะ (วิญญาณว่างเปล่า) นั้นเป็นอายตนะด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้ง เพราะเป็น
อารมณ์แห่งอรูปฌานที่ 2. อนึ่ง ชื่อว่า วิญญาณัญจายตนะ เพราะวิญญา-

ณัญจะนั้นเป็นอายตนะด้วยอรรถว่าเป็นถิ่นเกิด เพราะเป็นเหตุเกิดของฌานนั้น.
พระโยคาวจรควรล่วงแม้ทั้งสอง คือ ฌานและอารมณ์ ด้วยทำไม่ให้เป็นไป
และไม่ทำไว้ในใจแล้วพึงเข้าถึงอากิญจัญญายตนะนี้. เพราะฉะนั้นพึงทราบว่า
ท่านทำแม้ทั้งสองอย่างนั้นรวมกันแล้วกล่าวบทนี้ว่า วิญฺญาณญฺจายตนํ สม-
ติกมฺมม
ดังนี้. บทว่า นตฺถิ กิญฺจิ ไม่มีอะไร ท่านอธิบายว่า พระ-
โยคาวจรมนสิการอยู่อย่างนี้ว่า นตฺถิ นตฺถิ ไม่มี ไม่มี สุญฺญํ สุญฺญํ
ว่างเปล่า ว่างเปล่า วิวิตฺตํ วิวิตฺตํ สงัด สงัด.
บทว่า อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม เพราะล่วงอากิญจัญญาย-
ตนะ (ไม่มีอะไรเหลือสักน้อยหนึ่งเป็นอารมณ์) แม้ฌาน แม้อารมณ์ก็เป็น
อากิญจัญายตนะตามนัยดังกล่าวแล้วแม้ในบทนี้ และในบทก่อนนั่นแหละ.
จริงอยู่ แม้อารมณ์ก็เป็นอากิญจัญญายตนะ เพราะอากิญจัญญะ (ไม่มีอะไร
เหลือ) นั้นเป็นอายตนะด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้ง เพราะเป็นอารมณ์แห่งอรูปฌาน
ที่ 3 ตามนัยดังกล่าวแล้วในบทก่อน. อนึ่ง ชื่อว่าอากิญจัญญายตนะ เพราะ
อากิญจัญญะนั้นเป็นอายตนะด้วยอรรถว่าเป็นถิ่นให้เกิด เพราะเป็นเหตุเกิดของ
ฌานนั้นนั่นแล เพราะล่วงแม้ทั้งสองอย่างนั้น คือ ฌานและอารมณ์ ด้วยทำ
ไม่ให้เป็นไปและด้วยไม่ทำไว้ในใจแล้วพึงเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ (มี
สัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่) นี้อยู่ เพราะฉะนั้นพึงทราบว่า ท่านทำ
แม้ทั้งสองอย่างนั้นรวมกันแล้วกล่าวบทนี้ว่า อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมฺม
ดังนี้. สัญญาเวทยิตนิโรธกถา (การดับสัญญาเวทนา) ท่านกล่าวไว้แล้วใน
หนหลัง.
วิโมกข์ 7 มีอาทิว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ (ภิกษุมีรูป ย่อมเห็นรูป
ทั้งหลาย) ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่าพ้นด้วยดีจากธรรมเป็นข้าศึกทั้งหลาย

และเพราะอรรถว่าพ้นด้วยดี ด้วยอำนาจความยินดียิ่งในอารมณ์. ส่วนนิโรธ-
สมาบัติ ชื่อว่าวิโมกข์ เพราะอรรถว่าพ้นแล้ว จากจิตและเจตสิกทั้งหลาย.
ชื่อว่า สมยวิโมกข์ เพราะพ้นในสมัยเข้าถึงสมาบัติ ไม่พ้นในสมัยออกแล้ว.
ชื่อว่า อริยมรรค เพราะพ้นสิ้นเชิงด้วยอำนาจแห่งสมุจเฉทวิมุตติ.
ชื่อว่า สามัญผล เพราะพ้นสิ้นเชิงด้วยอำนาจแห่งปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ชื่อว่า
นิพพาน เพราะพ้นสิ้นเชิงด้วยอำนาจแห่งนิสสรณวิมุตติ นี่เป็นอสมยวิโมกข์
สามยิกาสามยิกวิโมกข์ (พ้นชั่วคราวและไม่ชั่วคราว) ก็เหมือนอย่างนั้น.
ชื่อว่า กุปฺโป เพราะอาศัยความประมาทจึงเสื่อม. ชื่อว่า อกุปฺโป
เพราะไม่เสื่อมอย่างนั้น. ชื่อว่า โลกิโย เพราะย่อมเป็นไปตามโลก. ชื่อว่า
โลกุตฺตรา เพราะอริยมรรคทั้งหลายย่อมข้ามโลก ชื่อว่า โลกุตฺตรา เพราะ
สามัญผลและนิพพานข้ามไปแล้วจากโลก. ชื่อว่า อนาสโว เพราะอาสวะ
ทั้งหลายไม่หน่วงเหนี่ยวโลกุตรธรรมอันสูงด้วยเดชไว้ได้ ดุจแมลงวันไม่เกาะ
ก้อนเหล็กที่ร้อนฉะนั้น.
บทว่า รูปปฺปฏิสญฺญุตฺโต วิโมกข์ปฏิสังยุตด้วยรูป คือ รูปฌาน.
บทว่า อรูปปฺปฏิสญฺญุตฺโต วิโมกข์ที่ไม่ปฏิสังยุตด้วยรูป คือ อรูปสมาบัติ.
วิโมกข์ที่ถูกตัณหาหน่วงเหนี่ยวไว้ ชื่อว่าปณิหิตวิโมกข์ วิโมกข์ที่ไม่ถูกตัณหา
หน่วงเหนี่ยวไว้ชื่อว่าอัปปณิหิตวิโมกข์. มรรคผลชื่อว่าเอกัตตวิโมกข์ เพราะ
มีอารมณ์อยู่เดียวกันและเพราะสำเร็จอย่างเดียวกัน นิพพาน ชื่อว่า เอกัตต-
วิโมกข์ เพราะไม่มีที่สอง ชื่อว่า นานัตตวิโมกข์ เพราะมีอารมณ์ต่างกัน
และเพราะมีวิบากต่างกัน.
บทว่า สิยา แปลว่า พึงมี ความว่า พึงมี คือ มี 10 และมี 1.
อนึ่ง บทว่า สิยา เป็นคำแสดงวิธี มิใช่เป็นคำถาม. บทว่า วตฺถุวเสน

ด้วยอำนาจแห่งวัตถุ คือ มี 10 ด้วยอำนาจแห่งวัตถุ 10 มีนิจจสัญญาเป็นต้น.
บทว่า ปริยาเยน โดยปริยาย คือมี 1 โดยปริยายแห่งการพ้น. บทว่า
สิยาติ กถญฺจ สิยา บทว่า พึงมีได้ คือ พึงมีได้อย่างไร ได้แก่ ถามว่า
สิ่งใดตั้งไว้ว่า พึงมี สิ่งนั้นพึงมีได้อย่างไร. บทว่า อนิจฺจานุปสฺสนญาณํ
เป็นบทสมาส. บาลีว่า อนิจฺจานุปสฺสนาญาณํ ดังนี้บ้าง. แม้ในบทที่เหลือ
ก็เหมือนกัน.
บทว่า นิจฺจโต สญฺญาย จากนิจจสัญญา คือ จากสัญญาอันเป็น
ไปแล้วโดยความเป็นของเที่ยง ความว่า จากสัญญาอันเป็นไปแล้วว่า เป็น
ของเที่ยง. แม้ในบทนี้ว่า สุขโต อตฺตโต นิมิตฺตโต สญฺญาย จากสุข-
สัญญา อัตตสัญญา นิมิตตสัญญา ก็มีนัยนี้. อนึ่ง บทว่า นิมิตฺตโต คือ
จากนิมิตว่าเที่ยง. บทว่า นนฺทิยา สญฺญาย จากนันทิสัญญา คือ จากสัญญา
อันเป็นไปแล้วด้วยความเพลิดเพลิน ความว่า จากสัญญาอันสัมปยุตแล้วด้วย
ความเพลิดเพลิน. แม้ในบทนี้ว่า ราคโต สมุทยโต อาทานโต ปณิธิโต
อภินิเวสโต สญฺญาย
จากราคสัญญา สมุทยสัญญา อาทานสัญญา ปณิธิ-
สัญญา อภินิเวสสัญญา ก็มีนัยนี้.
อนึ่ง เพราะอนุปัสสนา 3 อย่าง คือ ขยานุปัสสนา (พิจารณาเห็น
ความสิ้นไป) วยานุปัสสนา (พิจารณาเห็นความเสื่อม) วิปริณามานุปัสสนา
(พิจารณาเห็นความแปรปรวน) เป็นความวิเศษแห่งภังคานุปัสสนา อันเป็น
พลวปัจจัย เพราะเป็นกำลังแห่งอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น เพราะอนิจจานุปัสสนา
มีกำลังด้วยเห็นความดับ ก็เมื่ออนิจจานุปัสสนามีกำลัง แม้การพิจารณาเห็น
ทุกข์และอนัตตาว่า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็น
อนัตตา ดังนี้ก็มีกำลัง ฉะนั้นเมื่อท่านกล่าวอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น ก็เป็น
อันกล่าวถึงอนุปัสสนาแม้ 3 เหล่านั้นด้วย. อนึ่ง เพราะท่านกล่าวว่า สุญญตา-

นุปัสสนาญาณพ้นจากสัญญาโดยความยึดถือยึดมั่นสิ่งที่เป็นสาระ ยึดมั่นสิ่งที่เป็น
ความลุ่มหลง ยึดมั่นสิ่งที่เป็นความอาลัย ยึดมั่นสิ่งที่เป็นกิเลสอันผูกใจ ตาม
คำพูดว่า ย่อมหลุดพ้นจากสัญญาโดยความยึดมัน ท่านอธิบายต่อไปว่า พ้น
จากสัญญาโดยไม่พิจารณา เพราะไม่มีสิ่งยึดมั่น ฉะนั้นพึงทราบว่า อนุปัสส-
นาแม้ 5 มีอธิปัญญาธัมมวิปัสสนาเป็นต้น ท่านมิได้กล่าวไว้เลย. ในมหา-
วิปัสสนา 18 พึงทราบว่าท่านมิได้กล่าวถึงอนุปัสสนา 8 เหล่านั้นเลย กล่าว
ถึงแต่อนุปัสสนา 10 เท่านั้น.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสนา ยถาภูตํ ญาณํ อนิจจานุปัสสนายถา-
ภูตญาณ คือ การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงเป็นความรู้ตามความเป็นจริง. แม้
ทั้งสองบทเป็นปฐมาวิภัตติ. บทว่า ยถาภูตญาณํ ท่านกล่าวถึงอรรถแห่ง
ญาณ. แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนี้. บทว่า สมฺโมหา อญฺญาณา จากความ
หลง จากความไม่รู้ คือ จากความไม่รู้อันเป็นความหลง. บทว่า มุจฺจติ
(พ้น) ท่านกล่าวถึงอรรถแห่งวิโมกข์.
บทว่า อนิจฺจานุปสฺสนา อนุตฺตรํ สีติภาวํ ญาณํ ความว่า อนิจ-
จานุปัสสนาเป็นญาณอันมีความเย็นใจอย่างเยี่ยม ชื่อว่า อนุตฺตรํ เพราะอรรถว่า
สูงสุดโดยมีอยู่ในศาสนานี้เท่านั้น หรือชื่อว่า อนุตฺตรํ เพราะเป็นปัจจัย
แห่งความยอดเยี่ยม ญาณอันมีความเย็นใจนั่นแล ชื่อว่าสีติภาวญาณ. สีติ-
ภาวญาณนั้นเป็นญาณยอดเยี่ยม กล่าวคือพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง. นิพพาน
ชื่อว่า เป็นความเย็นอย่างเยี่ยมในพระพุทธวจนะนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุประกอบด้วยธรรม 6 ประการ เป็นผู้ควรเพื่อทำให้แจ้งพระนิพพานอัน
เป็นความเย็นอย่างเยี่ยม แต่ในที่นี้ วิปัสสนาเป็นความเย็นอย่างเยี่ยม.
บทว่า นิจฺจโต สนฺตาปปริฬาหทรถา มุจฺจติ พ้นจากความ
เดือดร้อน ความเร่าร้อนและความกระวนกระวาย โดยความเป็นสภาพเที่ยง

แม้ในบทนี้ กิเลสอันเป็นไปว่าเที่ยง ท่านกล่าวว่า สนฺตาโป เพราะอรรถว่า
เดือดร้อนในโลกนี้และโลกหน้า. ท่านกล่าวว่า ปริฬาโห เพราะอรรถว่า
เผาผลาญ. ท่านกล่าวว่า ทรโถ เพราะอรรถว่าร้อน.
บทมีอาทิว่า เนกฺขมฺมํ ชายติ ฌานํ มีความดังได้กล่าวแล้วใน
หนหลัง. อนึ่ง บทมีอาทิว่า เนกขัมมะในบทนี้ คือ สมาบัติ 8 อันเป็นส่วน
แห่งการแทงตลอด.
บทว่า อนุปฺปาทา จิตฺตสฺส วิโมกฺโข (การหลุดพ้นแห่งจิต
เพราะไม่ยึดถือ) ในที่นี้คือวิปัสสนานั่นเอง. แต่ในบาลีนี้ว่า การพูดกันมี
อันนี้เป็นประโยชน์ การปรึกษากันมีอันนี้เป็นประโยชน์ นี้คือความหลุดพ้น
แห่งจิตเพราะไม่ยึดถือ นิพพาน คือ ความหลุดพ้นเพราะไม่ยึดถือ. บทว่า
กตีหุปาทาเนหิ คือด้วยอุปาทานเท่าไร. บทว่า กตมา เอกุปาทา คือ
จากอุปาทานหนึ่งเป็นไฉน.
บทว่า อิทํ เอกุปาทานา คือ จากอุปาทานหนึ่งนี้. อีกอย่างหนึ่ง
บทว่า อิทํ เพ่งญาณก่อน. ในการพ้นจากอุปาทานนั้น มีความดังต่อไปนี้
เพราะพระโยคาวจรเห็นแล้ว เห็นแล้วซึ่งความเกิดและความเสื่อมของสังขาร
ทั้งหลายแต่ต้น เห็นด้วยอนิจจานุปัสสนา ภายหลังเห็นความดับของสังขาร
ทั้งหลาย แล้วเห็นด้วยอนิมิตตานุปัสสนา เพราะอนิมิตตานุปัสสนาเป็นความ
วิเศษแห่งอนิจจานุปัสสนา ความไม่มีตัวตนเป็นความปรากฏ ด้วยการเห็น
ความเกิดและความเสื่อม และด้วยการเห็นความดับของสังขารทั้งหลาย ด้วย
เหตุนั้นจึงเป็นการละทิฏฐุปาทานและอัตตวาทุปาทานได้. อนึ่ง เพราะละทิฏฐิ
นั่นเอง จึงเป็นอันละสีลัพพตุปาทาน เพราะไม่มีความเห็นว่า ตัวตนย่อม
บริสุทธิ์ได้ด้วยศีลและพรต. อนึ่ง เพราะพระโยคาวจรเห็นความไม่มีตัวตน

โดยตรงด้วยอนัตตานุปัสสนา. อนึ่ง สุญญตานุปัสสนาเป็นความวิเศษแห่ง
อนัตตานุปัสสนานั่นเอง ฉะนั้น ญาณ 4 เหล่านี้ ย่อมพ้นจากอุปาทานทั้งหลาย
3 มีทิฏฐุปาทานเป็นต้น. ท่านไม่กล่าวถึงการพ้นจากกามุปาทาน เพราะตัณหา
เป็นข้าศึกโดยตรงของอนุปัสสนา 4 มีทุกขานุปัสสนาเป็นต้น และของอนุ-
ปัสสนา 3 มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น เพราะเมื่อพระโยคาวจรเห็นว่าสังขาร
ทั้งหลายเป็นทุกข์ ด้วยทุกขานุปัสสนาแต่ต้น และภายหลังเมื่อเห็นว่า สังขาร
ทั้งหลายเป็นทุกข์ด้วยอัปปณิหิตานุปัสสนา ย่อมละความปรารถนาสังขารทั้งหลาย
เสียได้ เพราะอัปปณิหิตานุปัสสนาเป็นความวิเศษของทุกขานุปัสสนานั่นเอง.
อนึ่ง เพราะเมื่อพระโยคาวจรเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลายด้วยนิพพิทานุปัสสนา
คลายความกำหนัดด้วยวิราคานุปัสสนา ย่อมละความปรารถนาสังขารทั้งหลาย
เสียได้ ฉะนั้น ญาณ 4 เหล่านี้ย่อมพ้นจากกามุปาทาน เพราะพระโยคาวจร
ดับกิเลสทั้งหลายได้ด้วยนิโรธานุปัสสนา ย่อมสละกิเลสทั้งหลายได้ด้วย
ปฏินิสสัคคานุปัสสนา ฉะนั้น ญาณ 2 เหล่านี้ ย่อมพ้นจากอุปาทาน 4 ด้วย
เหตุนั้นท่านจึงชี้แจงวิโมกข์ 68 ด้วยความต่างกันโดยสภาวะ และด้วยความ
ต่างกันโดยอาการ.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระครั้นแสดงถึงประธานแห่งวิโมกข์ทั้งหลาย 3
ที่ยกขึ้นแสดงแต่ต้นแล้ว ประสงค์จะแสดงอินทรียวิเศษ และบุคคลวิเศษอัน
เป็นประธานเป็นหัวหน้าของวิโมกข์ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ตีณิ โข ปนิมานิ
วิโมกข์อันเป็นประธาน 3 เหล่านี้แล. ในบทเหล่านั้น บทว่า วิโมกฺขมุขานิ
คือ ประธานแห่งวิโมกข์ 3. บทว่า โลกนิยฺยานาย สํวตฺตนฺติ ย่อมเป็นไป
เพื่อนำออกไปจากโลก คือย่อมเป็นไปเพื่อนำออกไปจากไตรโลกธาตุ.

บทว่า สพฺพสงฺขาเร ปริจฺเฉทปริวฏฺฏุมโต สมนุปสฺสนตาย
โดยความพิจารณาเห็นสังขารทั้งปวง โดยความหมุนเวียนไปตามกำหนด คือ
โดยความพิจารณาเห็นโดยความกำหนด และโดยความหมุนเวียนไป ด้วย
อำนาจความเกิดและความเสื่อมแห่งสังขารทั้งหลายทั้งปวง. ปาฐะที่เหลือว่า
โลกนิยฺยานํ โหติ เป็นการนำออกไปจากโลก.
จริงอยู่ อนิจจานุปัสสนากำหนดว่า ก่อนแต่เกิด สังขารทั้งหลายไม่มี
แล้วแสวงหาคติของสังขารเหล่านั้น พิจารณาเห็นโดยความหมุนเวียนและโดย
ที่สุดว่า เบื้องหน้าแต่ความเสื่อม สังขารทั้งหลายย่อมไม่ถึง สังขารทั้งหลาย
ย่อมอันตรธานไปในที่นี้แหละ. จริงอยู่ สังขารทั้งปวงกำหนดที่สุดเบื้องต้น
ด้วยความเกิด กำหนดที่สุดเบื้องปลายด้วยความเสื่อม.
บทว่า อนิมิตฺตตาย จ ธาตุยา จิตฺตสมฺปกฺขนฺทนตาย ด้วย
ความที่จิตแล่นไปในอนิมิตตธาตุ คือ เป็นการนำออกไปจากโลก เพราะจิต
น้อมไปในนิพพาน แม้ในขณะวิปัสสนา และเพราะนิพพานธาตุ กล่าวคือ
อนิมิตเข้าไปสู่จิต โดยปรากฏด้วยอาการแห่งอนิมิต. บทว่า มโนสมุตฺเตชน-
ตาย
โดยความองอาจแห่งใจ คือโดยความสลดใจ เพราะจิตย่อมสลดใน
สังขารทั้งหลาย ด้วยทุกขานุปัสสนา.
บทว่า อปฺปณิหิตาย จ ธาตุยา ในอัปปณิหิตธาตุ (ธาตุที่ไม่ตั้งอยู่)
คือนิพพานธาตุ อันได้แก่อัปปณิหิตะโดยปรากฏด้วยการที่ตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะ
จิตน้อมไปในนิพพานแม้ในขณะวิปัสสนา. บทว่า สพฺพธมฺเม ท่านไม่กล่าว
ว่า สงฺขาเร กล่าวว่า สพฺพธมฺเม เพราะมีสภาพเป็นอนัตตา แม้ในความ
ที่นิพพานยังไม่เข้าถึงวิปัสสนา. บทว่า ปรโต สมนุปสฺสนตาย โดย

พิจารณาเห็นโดยความเป็นอย่างอื่น คือโดยพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา
อย่างนี้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะอาศัยปัจจัย เพราะไม่อยู่ในอำนาจ
และเพราะไม่เชื่อฟัง. บทว่า สุญฺญตาย จ ธาตุยา ในสุญญตธาตุ คือ
ในนิพพานธาตุ กล่าวคือสุญญตา โดยความปรากฏโดยอาการเป็นของสูญ
เพราะจิตน้อมไปในนิพพาน แม้ในขณะแห่งวิปัสสนา. คำ 3 เหล่านี้ ท่าน
กล่าวด้วยอำนาจแห่งอนิจจานุปัสสนา ทุกขานุปัสสนา และอนัตตานุปัสสนา
ด้วยประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้นแล ท่านจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต
มนสิกโรโต
เมื่อมนสิการโดยความเป็นของไม่เที่ยง ในลำดับต่อจากนั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ขยโต คือโดยความสิ้นไป บทว่า ภยโต
โดยความเป็นของน่ากลัว คือโดยความมีภัย. บทว่า สุญฺญโต โดยความ
เป็นของสูญ คือโดยความปราศจากตน. บทว่า อธิโมกฺขพหุลํ จิตมากด้วย
ความน้อมไป คือจิตมากด้วยศรัทธาของความเชื่อในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจริงหนอ ด้วยเห็นความดับในขณะ โดยประจักษ์ของ
ผู้ปฏิบัติด้วยศรัทธาว่า สังขารทั้งหลายย่อมแตกไป ด้วยอำนาจแห่งการดับใน
ขณะ ด้วยอนิจจานุปัสสนา. อีกอย่างหนึ่ง จิตมากด้วยความน้อมไป เพราะ
เห็นความไม่เที่ยงของสังขารทั้งหลาย อันเป็นปัจจุบันแล้วน้อมไปว่า สังขาร
ทั้งปวงทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่เที่ยงด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า
ปสฺสทฺธิพหุลํ มากด้วยความสงบ คือจิตมากด้วยความสงบ เพราะไม่มีความ
กระวนกระวายแห่งจิต เพราะละความตั้งใจอันทำให้จิตกำเริบด้วยทุกขานุปัสสนา
อีกอย่างหนึ่ง จิตมากด้วยความสงบ เพราะไม่มีความฟุ้งซ่าน เพราะเกิดความ
สังเวช และเพราะตั้งความสังเวชไว้โดยแยบคาย ด้วยทุกขานุปัสสนา. บทว่า

เวทพหุลํ มากด้วยความรู้ คือจิตมากด้วยญาณของผู้เห็นอนัตตลักษณะอัน
ลึกซึ้ง ซึ่งคนภายนอกไม่เห็น ด้วยอนัตตานุปัสสนา. อีกอย่างหนึ่ง จิตมากด้วย
ความยินดีของผู้ยินดีว่า เห็นอนัตตลักษณะที่โลกพร้อมทั้งเทวโลกยังไม่เห็น.
บทว่า อธิโมกฺขพหุโล สทฺธินฺทฺริยํ ปฏิลภติ ผู้มากด้วยความ
น้อมใจไปย่อมได้สัทธินทรีย์ คือ ความน้อมใจไปในส่วนเบื้องต้นเป็นไปมาก
ชื่อว่าสัทธินทรีย์ ด้วยการบำเพ็ญภาวนา บุคคลนั้นย่อมได้สัทธินทรีย์นั้น.
บทว่า ปสฺสทฺธิพหุโล สมาธินฺทฺริยํ ปฏิลภติ ผู้มากด้วยปัสสัทธิ ย่อม
ได้สมาธินทรีย์ คือ บุคคลผู้มากด้วยปัสสัทธิ ย่อมได้สมาธินทรีย์นั้น เพราะ
ปัสสัทธิเป็นปัจจัย ด้วยการบำเพ็ญภาวนา โดยบาลีว่า ผู้มีกายสงบย่อมเสวยสุข
จิตของผู้มีสุขย่อมตั้งมั่น. บทว่า เวทพหุโล ปญฺญินทฺริยํ ปฏิลภติ ความรู้
ในส่วนเบื้องต้นเป็นไปมาก ชื่อว่า ปัญญินทรีย์ ด้วยการบำเพ็ญภาวนา บุคคล
นั้นย่อมได้ปัญญินทรีย์นั้น.
บทว่า อาธิปเตยฺยํ โหติ อินทรีย์ที่เป็นใหญ่ คือ แม้เมื่อฉันทะ
เป็นต้น เป็นใหญ่ อินทรีย์ย่อมเป็นใหญ่ เป็นประธาน ด้วยสามารถยังกิจ
ของตนให้สำเร็จได้. บทว่า ภาวนาย เป็นสัตตมีวิภัตติ หรือเพื่อประโยชน์
แก่การเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป. บทว่า ตทนฺวยานิ โหนฺติ คือไปตามอินทรีย์นั้น
คล้อยไปตามอินทรีย์นั้น. บทว่า สหชาตปจฺจยา โหนฺติ เป็นสหชาตปัจจัย
(ปัจจัยเกิดร่วมกัน ) คือ เมื่อเกิดย่อมเป็นอุปการะ เพราะความที่เกิดร่วมกัน
ดุจประทีปเป็นอุปการะแก่แสงสว่าง ฉะนั้น. บทว่า อญฺญมญฺญปจฺจยา โหนฺติ
เป็นอัญญมัญญปัจจัย (เป็นปัจจัยของกันและกัน) คือ เป็นอุปการะแก่กัน
และกัน โดยความช่วยเหลือให้เกิด ดุจไม้ 3 อันช่วยเหลือกันและกัน. บทว่า

นิสฺสยปจฺจยา โหนฺติ เป็นนิสสยปัจจัย (ปัจจัยที่อาศัยกัน) คือเป็นอุปการะ
โดยอาการตั้งใจ และโดยอาการเป็นที่อาศัย ดุจพื้นดินเป็นเป็นอุปการะของ
ความงอกงามแห่งต้นไม้. บทว่า สมฺปยุตฺตปจฺจยา โหนฺติ เป็นสัมปยุตต-
ปัจจัย (ปัจจัยที่ประกอบกัน ) คือเป็นอุปการะโดยความเป็นสัมปยุตตปัจจัย
กล่าวคือมีวัตถุอันเดียวกัน อารมณ์อันเดียวกัน ดับพร้อมกัน ดับพร้อมกัน.
บทว่า ปฏิเวธกาเล ในกาลแทงตลอด คือในกาลแทงตลอดสัจจะ
ในขณะแห่งมรรค. บทว่า ปญฺญินฺทฺริยํ อาธิปเตยฺยํ โหติ ปัญญินทรีย์
เป็นใหญ่ คือปัญญินทรีย์นั่นแลทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ในขณะแห่งมรรค
ย่อมเป็นใหญ่ด้วยสามารถทำกิจคือเห็นสัจจะ และด้วยสามารถทำกิจคือละกิเลส.
บทว่า ปฏิเวธาย แห่งการแทงตลอด คือเพื่อต้องการแทงตลอดสัจจะ. บทว่า
เอกรสา มีรสอย่างเดียวกัน คือด้วยวิมุตติรส. บทว่า ทสฺสนฏฺเฐน เพราะ
อรรถว่าเห็น คือเพราะอรรถว่าเห็นสัจจะ.
บทว่า เอวํ ปฏิวิชฺฌนฺโตปิ ภาเวติ ภาเวนฺโตปิ ปฏิวิชฺฌติ
ด้วยอาการอย่างนี้ แม้บุคคลผู้แทงตลอดก็ย่อมเจริญ แม้บุคคลผู้เจริญก็ย่อม
แทงตลอด ท่านกล่าวเพื่อแสดงความเป็นไปทั้งปวง แห่งการเจริญและการ
แทงตลอดคราวเดียวเท่านั้นในขณะแห่งมรรค. ท่านประกอบ อปิ ศัพท์ใน
บทว่า ปฏิเธกาเลปิ เพราะปัญญินทรีย์นั่นแลเป็นใหญ่ แม้ในขณะแห่ง
วิปัสสนา ด้วยอนัตตานุปัสสนา.
บทมีอาทิว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต กตมินฺทฺริยํ อธิมตฺตํ
โหติ
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง อินทรีย์อะไรมีประมาณยิ่ง

ท่านกล่าวเพื่อแสดงบุคคลวิเศษด้วยสามารถแห่งอินทรีย์. ในบทเหล่านั้น บทว่า
อธิมตฺตํ คือ ยิ่ง. ในบทนั้นพึงทราบความที่สัทธินทรีย์ สมาธินทรีย์เเละ
ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยความวางเฉยในสังสาร.
ในบทว่า สทฺธาวิมุตฺโต น้อมใจเชื่อนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นสัทธาวิมุต
ในฐานะ 7 เหล่านั้นเว้นโสดาปัตติมรรค เพราะแม้เมื่อท่านกล่าวไม่แปลกกันใน
บทนี้ ก็กล่าวแปลกกันในบทต่อไป. ท่านกล่าวว่า บุคคลเป็นสัทธาวิมุต
เพราะความที่สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง มิใช่เป็นสัทธาวิมุต เพราะสัทธินทรีย์
มีประมาณยิ่งในที่ทั้งปวง. อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ในอินทรีย์ที่เหลือแม้เมื่อ
มีสมาธินทรีย์ ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่งในขณะ
แห่งโสดาปัตติมรรค บุคคลก็เป็นสัทธาวิมุตได้เหมือนกัน.
บทว่า กายสกฺขี โหติ บุคคลเป็นกายสักขี (มีกายเป็นสักขี) คือ
บุคคลชื่อว่า เป็นกายสักขีในฐานะ 8 อย่าง. บทว่า ทิฏฺฐปฺปตฺโต โหติ
บุคคลเป็นทิฏฐิปัตตะ (ถึงแล้วซึ่งทิฏฐิ) พึงทราบตามนัยดังกล่าวแล้วในสัทธา-
วิมุตนั่นแล.
บทว่า สทฺทหนฺโต วิมุตฺโตติ สทฺธาวิมุตฺโต บุคคลชื่อว่า
สัทธาวิมุต เพราะเชื่อน้อมใจไป ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า สัทธาวิมุต เพราะ
เชื่อในขณะโสดาปัตติมรรคเพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง น้อมใจไปในขณะ
แห่งผลแม้ 4. บัดนี้ จักกล่าวถึงความเป็นสัทธาวิมุตในขณะมรรค 3 ข้างบน
แต่จักกล่าวความที่เป็นสัทธานุสารี (แล่นไปตามศรัทธา) ในขณะแห่งโสดา-
ปัตติมรรคในภายหลัง.
บทว่า ผุฏฺฐตฺตา สจฺฉิกโตติ กายสกฺขี บุคคลชื่อว่าเป็นกายสักขี
เพราะทำให้แจ้ง เพราะเป็นผู้ถูกต้องธรรม เมื่อความเป็นสุกขวิปัสสกมีอยู่

เมื่อความที่ผลแห่งอุปจารฌานได้รูปฌานและอรูปฌานมีอยู่ บุคคลชื่อว่า เป็น
กายสักขี เพราะทำให้แจ้งนิพพาน เพราะเป็นผู้ถูกต้องผลของรูปฌานและ
อรูปฌาน. ท่านอธิบายว่า เป็นสักขีในการสัมผัสฌานและในนิพพานมีประการ
ดังกล่าวแล้วโดยนามกาย.
บทว่า ทิฏฺฐตฺตา ปตฺโตติ ทิฏฺฐิปฺปตฺโต บุคคลชื่อว่า เป็น
ทิฏฐิปัตตะเพราะบรรลุแล้ว เพราะเป็นผู้เห็นธรรม คือบุคคลชื่อว่าเป็นทิฏฐิ-
ปัตตะเพราะบรรลุนิพพานด้วยอำนาจแห่งโสดาปัตติผลเป็นต้น ในภายหลัง
เพราะเห็นนิพพานก่อนด้วยปัญญินทรีย์สัมปยุตในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค.
ท่านอธิบายว่า บรรลุนิพพานด้วยทิฏฐิ คือปัญญินทรีย์. แต่จักกล่าวความที่
เป็นธัมมานุสารี (แล่นไปตามธรรม) ในขณะโสดาปัตติมรรคในภายหลัง.
บทว่า สทฺทหนฺโต วิมุจฺจตีติ สทฺธาวิมุตฺโต บุคคลชื่อว่า
เป็นสัทธาวิมุต เพราะเธออยู่ย่อมน้อมใจไป คือ บุคคลชื่อว่าเป็นสัทธาวิมุต
เพราะเชื่ออยู่น้อมใจไปในขณะแห่งสกทาคามิมรรค อนาคามิมรรคและอรหัต-
มรรค เพราะความที่สัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง แม้น้อมใจไปในลัทธินทรีย์นั้น
ท่านก็กล่าวว่า วิมุต ด้วยอำนาจแห่งการกล่าวที่เป็นจริงด้วยความหวัง. บทว่า
ฌานผสฺสํ ถูกต้องฌาน คือ ถูกต้องฌาน 3 อย่าง. ท่านกล่าวบทมีอาทิว่า
ฌานผสฺสํ และบทมีอาทิว่า ทุกฺขา สงฺขารา ก่อนแล้วจึงกล่าวทั้งสองบท
ให้ต่างกัน. บทว่า ญาณํ โหติ เป็นอาทิมีความดังได้กล่าวแล้วในหนหลัง.
อนึ่ง ในบทนี้อาจารย์ทั้งหลายอธิบายว่า บุคคลผู้ได้ฌานครั้นออกแล้วด้วย
ทุกขานุปัสสนาอันอนุกูลแก่สมาธินทรีย์ ย่อมบรรลุมรรคผล. บทว่า สิยา
แปลว่า พึงมี พึงเป็น. บทนี้ เป็นชื่อของวิธีเท่านั้น. บทว่า ตโย ปุคฺคลา

บุคคล 3 จำพวก คือบุคคล 3 จำพวก ท่านกล่าวแล้วด้วยวิปัสสนานิยมและ
ด้วยอินทรีย์นิยม. บทว่า วตฺถุวเสน ด้วยสามารถแห่งวัตถุคือด้วยสามารถ
แห่งอินทรีย์วัตถุหนึ่ง ๆ ในอนุปัสสนา 3. บทว่า ปริยาเยน คือโดยปริยาย
นั้นนั่นเอง. ด้วยวาระนี้ท่านแสดงถึงอะไร. ท่านแสดงว่า ท่านกล่าวถึงความ
เป็นใหญ่แห่งอินทรีย์หนึ่ง ๆ ด้วยอนุปัสสนาหนึ่ง ๆ โดยเยภุยนัย และบาง
คราวความเป็นใหญ่แห่งอินทรีย์หนึ่ง ๆ ในอนุปัสสนาแม้ 3. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อมี สัทธาวิมุตเป็นต้น ย่อมมีในขณะแห่งมรรคและผล เพ่งถึงความเป็นใหญ่
แห่งอินทรีย์เหล่านั้น ๆ ในวิปัสสนาอันเป็นส่วนเบื้องต้นเหล่านั้น เพราะมีอนุ-
ปัสสนาแม้ 3 ในขณะแห่งวิปัสสนาอันเป็นส่วนเบื้องต้น เพราะเมื่อกล่าวอยู่
อย่างนี้ ความเป็นใหญ่แห่งอินทรีย์และบุคคลนิยม ท่านทำไว้ในเบื้องบนแห่ง
วิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินีในหนหลัง และเป็นอันท่านทำดีแล้ว ไม่หวั่นไหว
เลย. ในอนันตวาระ บทว่า สิยาติ อญฺโญเยว พึงเป็นอย่างอื่น คือ
พึงเป็นอย่างนี้. ในบทนี้ท่านกล่าวถึง ความนิยมในบทก่อน.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเพื่อแสดงจำแนกบุคคลวิเศษด้วยสามารถแห่ง
มรรคและผล จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโจ ฯลฯ โสตา-
ปตฺติมคฺคํ ปฏิลภติ
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง สัทธินทรีย์
มีประมาณยิ่ง เพราะสัทธินทรีย์มีประมาณยิ่ง บุคคลจึงได้โสดาปัตติมรรค.
ในบทเหล่านั้น บุคคลชื่อว่าเป็นสัทธานุสารี เพราะระลึกถึง คือไป
ตามศรัทธา หรือระลึกถึงไปตามนิพพานด้วยศรัทธา. บทว่า สจฺฉิกตา
ทำให้แจ้ง คือทำให้ประจักษ์. บทว่า อรหตฺตํ คืออรหัตผล. ชื่อว่า
ธรรมานุสารี เพราะระลึกถึงธรรมกล่าวคือปัญญา หรือระลึกถึงนิพพานด้วย
ธรรมนั้น.

พระสารีบุตรเถระประสงค์จะพรรณนาถึงบุคคลวิเศษด้วยความวิเศษ
แห่งอินทรีย์ 3 โดยปริยายอื่นอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า เย หิ เกจิ บุคคล
เหล่าใดเหล่าหนึ่งดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ภาวิตา วา เจริญแล้ว คือเจริญแล้วในอดีต.
บทว่า ภาเวนฺติ วา ย่อมเจริญ คือเจริญในปัจจุบัน. บทว่า ภวิสฺสติ วา
จักเจริญ คือ จักเจริญในอนาคต. บทว่า อธิคตา วา บรรลุแล้วเป็นต้น
ท่านกล่าวเพื่อขยายอรรถแห่งบทก่อน ๆ อันมีที่สุดเป็นอย่างหนึ่ง ๆ. บทว่า
ผสฺสิตา วา ถูกต้องแล้ว คือ ถูกต้องแล้วด้วยญาณผุสนา. บทว่า วสิปฺปตฺตา
ถึงความชำนาญ คือถึงความเป็นอิสระ. บทว่า ปารมิปฺปตฺตา ถึงความ
สำเร็จ คือถึงที่สุด. บทว่า เวสารชฺชปฺปตฺตา ถึงความแกล้วกล้า คือ ถึง
ความมั่นใจ. สัทธาวิมุตเป็นต้นในที่ทั้งปวงถึงแล้ว ในขณะที่ท่านกล่าวไว้แล้ว
ในหนหลัง. สติปัฏฐานเป็นต้นถึงแล้วในขณะแห่งมรรคนั่นแล.
บทว่า อฏฺฐ วิโมกฺเข วิโมกข์ 8 คือ บุคคลเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
บรรลุแล้วด้วยการบรรลุปฏิสัมภิทามรรคมีอาทิว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ ดังนี้.
บทว่า ติสฺโส สิกฺขา สิกขา 3 คืออธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา
บรรลุมรรคแล้วยังศึกษาอยู่. บทว่า ทุกฺขํ ปริชานนฺติ กำหนดรู้ทุกข์เป็นต้น
กำหนดรู้ในขณะแห่งมรรคนั่นเอง. บทว่า ปริญฺญาปฏิเวธํ ปฏิวิชฺฌติ
แทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยปริญญา ชื่อว่า ปริญญาปฏิเวธะ
เพราะแทงตลอดด้วยการแทงตลอดด้วยปริญญา หรือพึงแทงตลอดด้วยปริญญา.
แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนั้น ท่านกล่าวคำมีอาทิว่า อภิญญาปฏิเวธะ แทง
ตลอดด้วยอภิญญา เพราะให้แปลกจากธรรมทั้งปวงเป็นต้น. ส่วนเเทงตลอด
ด้วยสัจฉิกิริยาพึงทราบด้วยสามารถความสำเร็จญาณในการพิจารณานิพพานใน

ขณะแห่งมรรคนั่นเอง. ในที่นี้เป็นอันท่านชี้แจงถึงอริยบุคคล 5 ไว้อย่างนี้
ไม่ชี้แจงถึงอริยบุคคล 2 เหล่านี้คือ อุภโตภาควิมุต และปัญญาวิมุต. แต่ในที่
อื่นท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลใดมนสิการโดยความเป็นทุกข์ มากด้วยปัสสัทธิย่อม
ได้สมาธินทรีย์ บุคคลนั้นชื่อว่า กายสักขีในที่ทั้งปวง ส่วนบุคคลบรรลุ
อรูปฌานแล้วบรรลุผลเลิศ ชื่อว่า อุภโตภาควิมุต. อนึ่ง บุคคลใดมนสิการ
โดยความเป็นอนัตตามากด้วยความรู้ย่อมได้ปัญญินทรีย์ บุคคลนั้น ชื่อว่า
ธรรมานุสารีในขณะแห่งโสดาปัตติมรรค ชื่อว่า ทิฏฐิปัตตะ ในฐานะ 6
ชื่อว่าปัญญาวิมุตในผลอันเลิศ. ในที่นี้ท่านสงเคราะห์บุคคลเหล่านั้นด้วย
กายสักขีและทิฏฐิปัตตะ แต่โดยอรรถชื่อว่า อุภโตภาควิมุต เพราะพ้นโดย
ส่วนสองคือ ด้วยอรูปฌานและด้วยอริยมรรค ชื่อว่า ปัญญาวิมุต เพราะ
รู้อยู่จึงพ้น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เป็นอันท่านชี้แจงถึงความวิเศษของอินทรีย์และ
บุคคล.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงถึงวิโมกขวิเศษ อันเป็น
หัวหน้าของวิโมกข์และบุคคลวิเศษ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต
เมื่อมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง. ในบทเหล่านั้น บทว่า เทฺว วิโมกฺขา
วิโมกข์ 2 คือ อัปปณิหิตวิโมกข์และสุญญตวิโมกข์. มรรคได้ชื่อว่า อนิมิตต-
วิโมกข์ด้วยสามารถถึงอนิจจานุปัสสนา ย่อมได้แม้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์
โดยความมีคุณเพราะไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นที่ตั้ง และโดยอารมณ์ เพราะ
ทำนิพพานอันได้ชื่อว่า อัปปณิหิต เพราะไม่มีปณิธิเหล่านั้นให้เป็นอารมณ์.
อนึ่ง ย่อมได้แม้ชื่อว่า สุญญตวิโมกข์โดยความมีคุณ เพราะว่างเปล่าจากราคะ
โทสะและโมหะ และโดยอารมณ์เพราะทำนิพพานอันได้ชื่อว่า สุญญตะ เพราะ
ว่างเปล่าจากราคะเป็นต้นนั่นแล ให้เป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น วิโมกข์ 2

เหล่านั้น จึงชื่อว่าไปตามอนิมิตตวิโมกข์. อนึ่ง พึงทราบว่า ปัจจัยมีสหชาต-
ปัจจัยเป็นต้น แม้ไม่อื่นไปจากมรรคอันเป็นอนิมิตตะ ย่อมเป็นด้วยสามารถ
แห่งองค์มรรคหนึ่ง ๆ ขององค์มรรค 8.
บทว่า เทฺว วิโมกฺขา อีกครั้ง คือ สุญญตวิโมกข์และอนิมิตต-
วิโมกข์. จริงอยู่ มรรคได้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิโมกข์ ด้วยสามารถแห่งการถึง
ทุกขานุปัสสนา ย่อมได้แม้ชื่อว่า อนิมิตตวิโมกข์ โดยความมีคุณ เพราะไม่มี
รูปนิมิต ราคนิมิตและนิจจนิมิตเป็นต้น และโดยอารมณ์ เพราะทำนิพพาน
กล่าวคืออนิมิตตะ เพราะไม่มีนิมิตเหล่านั้นเลยให้เป็นอารมณ์. พึงประกอบ
บทที่เหลือโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
บทว่า เทฺว วิโมกฺขา อีกครั้ง คือ อนิมิตตวิโมกข์และอัปปณิหิต-
วิโมกข์. การประกอบมีนัยดังกล่าวแล้วในบทนี้นั่นแล.
บทว่า ปฏิเวธกาเล ในกาลแทงตลอด ท่านกล่าวแล้วตามลำดับของ
อินทรีย์ทั้งหลายดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว. อนึ่ง ชื่อว่า วิโมกข์ย่อมไม่มีในขณะแห่ง
วิปัสสนาเพราะปล่อยขณะแห่งมรรคเสีย แต่ท่านแสดงมรรควิโมกข์ที่กล่าวไว้
แล้วครั้งแรกให้แปลกไปจากคำว่า ปฏิเวธกาเล. ท่านย่อวาระละ 2 มีอาทิว่า
บุคคลใดเป็นสัทธาวิมุต และวาระว่า เมื่อบุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพ
ไม่เที่ยงย่อมได้โสดาปัตติมรรค แต่พึงทราบเพราะประกอบด้วยอำนาจแห่ง
วิโมกข์โดยพิสดาร. พึงทราบวาระมีอาทิว่า เย หิ เกจิ เนกฺขมฺมํ ตามนัย
ดังกล่าวแล้วนั่นแล. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เป็นอันท่านชี้แจงถึงความวิเศษของ
วิโมกข์และบุคคล.
พระสารีบุตรเถระประสงค์จะชี้แจงประธานของวิโมกข์ และวิโมกข์
โดยส่วนไม่น้อยอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อนิจฺจโต มนสิกโรนฺโต เมื่อ

บุคคลมนสิการโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง. ในบทเหล่านั้น บทว่า ยถาภูตํ
ตามความเป็นจริง คือ ตามสภาวะ. บทว่า ปชานาติ ย่อมรู้ คือรู้ด้วยญาณ.
บทว่า ปสฺสติ ย่อมเห็นคือ เห็นด้วยญาณนั่นเอง ดุจเห็นด้วยจักษุ. บทว่า
ตทนฺวเยน คือโดยความเป็นไปตามสัมมาทัศนะนั้น อธิบายว่า โดยไปตาม
สัมมาทัศนะนั้นที่เห็นแล้วด้วยญาณโดยประจักษ์. บทว่า กงฺขา ปหียติ ย่อม
ละความสงสัยได้คือ ความสงสัยว่าเที่ยงหรือไม่เที่ยง ย่อมละได้ด้วยอนิจจานุ-
ปัสสนา ความสงสัยนอกนี้ย่อมละได้ด้วยอนุปัสสนานอกนี้. บทว่า นิมิตฺตํ
นิมิต คือ ย่อมรู้สังขารนิมิตอันเป็นอารมณ์ ตามความเป็นจริง เพราะละ
นิจจสัญญาได้ด้วยการแยกสันตติและฆนะออกไป. บทว่า เตน วุจฺจติ
สมฺมาทสฺสนํ
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่าสัมมาทัศนะ เพราะรู้ตามความ
เป็นจริงนั้น ท่านจึงกล่าวญาณนั้นว่า สัมมาทัศนะ. บทว่า ปวตฺตํ ความ
เป็นไป คือ รู้ความเป็นไปอันเป็นวิบาก แม้รู้ว่าสุขตามความเป็นจริง
เพราะละตัณหากล่าวคือ ปณิธิได้ด้วยการถอนสุขสัญญาในอาการอันถึงทุกข์แล้ว
ละด้วยสุขสัญญา. บทว่า นิมิตฺตญฺจ ปวตฺตญฺจ ย่อมรู้ย่อมเห็นนิมิตและ
ความเป็นไป คือย่อมรู้สังขารนิมิต และความเป็นไปอันเป็นวิบากตามความ
เป็นจริง เพราะละอัตตสัญญา แม้โดยประการทั้งสองด้วยการถอนฆนะอันรวม
กันอยู่ด้วยมีมนสิการถึงธาตุต่าง ๆ. บัดนี้ ท่านกล่าวถึง 3 บทเท่านั้นมีอาทิว่า
ยญฺจ ยถาภูตํ ญาณํ ยถาภูตญาณ มิได้กล่าวถึงบทอื่น.
บทว่า ภยโต อุปฏฺฐาติ ย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว คือ
นิมิตนั้นย่อมปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัวตามลำดับ เพราะเห็นความไม่มี
สุขเป็นนิจและตัวตน. ด้วยบทมีอาทิว่า ยา จ ภยตูปฏฺฐาเน ปญฺญา

ปัญญาในความปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว ท่านกล่าวถึงญาณ 3 ตั้งอยู่ใน
ญาณเดียวอันแตกต่างกัน โดยประเภทของหน้าที่ สัมพันธ์กับภยตูปัฏฐานญาณใน
วิปัสสนาญาณ 9 กล่าวคือ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณ
เป็นเครื่องเห็นทางปฏิบัติ) ที่ท่านกล่าวไว้แล้วคือ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ
(ปรีชาคำนึงเห็นทั้งความเกิดทั้งความดับ) 1 ภังคานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึง
เห็นความดับ) 1 ภยตุปัฏฐานญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว) 1
อาทีนวานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นโทษ) 1 นิพพิทานุปัสสนาญาณ
ปรีชาคำนึงถึงความเบื่อหน่าย) 1 มุญจิตุกัมยตาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยใคร่จะ
พ้นไปเสีย) 1 ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยพิจารณาหาทาง) 1
สังขารุเบกขาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยความวางเฉยเสีย) 1 อนุโลมญาณ (ปรีชา
เป็นไปโดยสมควรแก่กำหนดรู้อริยสัจ) ไม่กล่าวถึงญาณที่เหลือ.
พระสารีบุตรเถระ เพื่อแสดงความที่สุญญตานุปัสสนาญาณร่วมกันนั้น
ตั้งอยู่ในที่เดียวกัน โดยสัมพันธ์แห่งอนัตตานุปัสสนาอันเป็นลำดับ ตั้งอยู่ใน
ที่สุดแห่งในอนุปัสสนา 3 อีก จึงกล่าวบทมีอาทิว่า ยา จ อนตฺตานุปสฺสนา
ยา จ สุญฺญตานุปสฺสนา
ธรรมเหล่านี้คือ อนัตตานุปัสสนาและสุญญตานุ-
ปัสสนา. เพราะญาณ 2 เหล่านี้ โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน แต่ต่างกัน
โดยประเภทของหน้าที่. อนิจจานุปัสสนา และอนิมิตตานุปัสสนาโดยอรรถ
เป็นญาณอันเดียวกัน ทุกขานุปัสสนาและอัปปณิหิตานุปัสสนา โดยอรรถเป็น
ญาณอย่างเดียวกัน ต่างกันโดยประเภทของหน้าที่เท่านั้น เหมือนญานเหล่านี้.
เมื่อท่านกล่าวความที่อนัตตานุปัสสนา และสุญญตานุปัสสนาตั้งอยู่เป็นอันเดียว
กัน เป็นอันท่านกล่าวถึงความที่ญาณแม้ทั้งสองเหล่านั้น ตั้งอยู่เป็นอันเดียวกัน
เพราะมีลักษณะอย่างเดียวกัน.

บทว่า นิมิตฺตํ ปฏิสงฺขา ญาณํ อุปฺปชชฺติ ญาณคือการ
พิจารณานิมิตย่อมเกิด คือ ญาณย่อมเกิดเพราะรู้ด้วยอำนาจแห่งอนิจจลักษณะ
ว่า สังขารนิมิตไม่ยั่งยืนเป็นไปชั่วกาล ถึงแม้ญาณเกิดขึ้นภายหลังเพราะรู้ก่อน
ก็จริง ถึงดังนั้นโดยโวหาร ท่านกล่าวอย่างนี้ดุจบทมีอาทิว่า มโนวิญญาณ
ย่อมเกิดเพราะอาศัยใจและธรรม. อนึ่ง แม้ผู้รู้คัมภีร์ศัพทศาสตร์ย่อมปรารถนา
บทนี้แม้ในกาลเสมอกันดุจในบทมีอาทิว่า ความมืดย่อมปราศจากไปเพราะ
ดวงอาทิตย์โผล่. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่าท่านกล่าวอย่างนี้ เพราะทำบทต้น
และบทท้าย เป็นอันเดียวกันโดยนัยแห่งความเป็นอันเดียวกัน. โดยนัยนี้
พึงทราบอรรถในสองบทนอกนี้. ความที่ญาณ 3 มีมุญจิตุกัมยตาญาณเป็นต้น
ตั้งอยู่อย่างเดียวกันมีนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
บทว่า นิมิตฺตา จิตฺตํ วุฏฺฐาติ จิตย่อมออกไปจากนิมิตคือ จิต
ชื่อว่าย่อมออกไปจากสังขารนิมิต เพราะไม่คิดอยู่ในสังขารนิมิต ด้วยเห็นโทษ
ในสังขารนิมิต. บทว่า อนิมิตฺเต จิตฺตํ ปกฺขนฺทติ จิตย่อมแล่นไปใน
นิพพานอันหานิมิตมิได้ คือจิตย่อมเข้าไปในนิพพานอันหานิมิตมิได้ โดยเป็น
ปฏิปักษ์ต่อสังขารนิมิต เพราะจิตน้อมไปในนิพพานนั้น. แม้ในอนุปัสสนา
ทั้งสองที่เหลือก็พึงทราบความโดยนัยนี้. บทว่า นิโรธนิพฺพานธาตุยา ใน
นิพพานธาตุอันเป็นที่ดับ คือในบทนี้เป็นอันท่านกล่าวถึงแม้สองอนุปัสสนาแรก.
ปาฐะว่า นิโรเธ บ้าง. บทว่า พหิทฺธาวุฏฺฐานวิวฏฺฏเน ปญฺญา ปัญญา
ในความออกไปและความหลีกไปภายนอก คือ ท่านกล่าวถึงโคตรภูญาณโดยการ
สัมพันธ์ด้วยการออก. บทว่า โคตฺรภูธมฺมา คือโคตรภูญาณนั่นเอง. เพราะ
ความที่โคตรภูญาณตั้งอยู่อย่างเดียวกัน ด้วยประการนอกนี้ ย่อมไม่ควร. พึง
ทราบว่าท่านทำเป็นพหุวจนะ ดุจในบทมีอาทิว่าธรรมทั้งหลายที่เป็นอสังขตะ

ธรรมทั้งหลายที่ไม่เป็นปัจจัย หรือด้วยสามารถแห่งมรรค 4 เพราะวิโมกข์
ก็คือมรรค และมรรคออกไปจากส่วนทั้งสอง ฉะนั้น ด้วยความสัมพันธ์นั้น
ท่านจึงกล่าวบทมีอาทิว่า ยา จ ทุภโตวุฏฺฐานวิวฏฺฏเน ปญฺญา ปัญญา
ในความออกไปและหลีกออกไปจากส่วนทั้งสอง.
พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงปริยายในขณะเดียวกัน แห่งขณะ
ต่างกันของวิโมกข์ทั้งหลายอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า กตีหาการาหิ ด้วยอาการ
เท่าไร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อาธิปเตยฺยฏฺเฐน คือด้วยความเป็นใหญ่.
บทว่า อธิฏฺฐานฏฺเฐน คือด้วยความตั้งมั่น. บทว่า อภินีหารฏฺเฐน คือ
ด้วยความน้อมจิตไปโดยวิปัสสนาวิถี. บทว่า นิยฺยานฏฺเฐน ด้วยความนำ
ออกไป คือด้วยการเข้าถึงนิพพาน. บทว่า อนิจฺจโต มนสิกโรโต มนสิการ
โดยความเป็นสภาพไม่เที่ยง คือในขณะแห่งวิปัสสนาอันเป็นวุฏฐานคามินี
นั่นเอง. บทว่า อนิมิตฺโต วิโมกฺโข อนิมิตตวิโมกข์ คือในขณะแห่งมรรค
นั่นเอง. ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้. บทว่า จิตฺตํ อธิฏฺฐาติ ย่อมตั้งจิตมั่นไว้
คือทำจิตให้ยิ่งตั้งมั่นไว้. อธิบายว่า ยังจิตให้ตั้งมั่น. บทว่า จิตฺตํ อภินีหรติ
ย่อมน้อมจิตไป คือน้อมจิตไปโดยวิปัสสนาวิถี.
บทว่า นิโรธํ นิพฺพานํ นิยฺยาติ ย่อมนำจิตออกไปสู่นิพพานอัน
เป็นที่ดับ คือ ท่านแสดงความที่ขณะต่างกัน 4 ส่วนโดยความต่างกันด้วย
อาการอย่างนี้ว่า บุคคลย่อมเข้าถึงนิพพานกล่าวคือความดับ.
บทว่า สโมธานฏฺเฐน ด้วยความประชุมลง เพราะมีขณะเดียวกัน
คือ ด้วยความประชุมรวมกัน. บทว่า อธิคมนฏฺเฐน ด้วยความบรรลุ คือ
ด้วยความรู้. บทว่า ปฏิลาภฏฺเฐน ด้วยความได้ คือด้วยการถึง. บทว่า

ปฏิเวธฏฺเฐน ด้วยความแทงตลอด คือด้วยความแทงตลอดด้วยญาณ. บทว่า
สจฺฉิกรณฏฺเฐน ด้วยความทำให้แจ้ง คือด้วยทำให้ประจักษ์. บทว่า
ผสฺสนฏฺเฐน ด้วยความถูกต้อง คือด้วยความถูกต้องด้วยสัมผัสญาณ. บทว่า
อภิสมยฺเฐน ด้วยความตรัสรู้ คือด้วยความมาถึงพร้อมเฉพาะหน้า. ใน
บทว่า สโมธานฏฺเฐน นี้ เป็นบทมูลเหตุ. บทที่เหลือเป็นไวพจน์ของความ
สำเร็จ เพราะฉะนั้นแล ท่านจึงทำการแก้บททั้งหมดเป็นอันเดียวกัน. บทว่า
นิมิตฺตา มุจฺจติ ย่อมพ้นจากนิมิต คือพ้นจากนิมิตว่าเป็นสภาพเที่ยง ด้วย
บทนี้ท่านกล่าวถึงอรรถของวิโมกข์. บทว่า ยโต มุจฺจติ พ้นจากอารมณ์ใด
คือพ้นจากนิมิตใด. บทว่า ตตฺถ น ปณิทหติ ย่อมไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์นั้น
คือไม่ทำความปรารถนาในนิมิตนั้น. บทว่า ยตฺถ น ปฏิทหติ ย่อมไม่
ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด คือ ย่อมไม่ตั้งอยู่ในนิมิตใด. บทว่า เตน สุญฺโญ เป็น
ผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น คือว่างเปล่าจากนิมิตนั้น. บทว่า เยน สุญฺโญ
เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์ใด คือเป็นผู้ว่างเปล่าจากนิมิตใด ด้วยบทนี้ว่า เตน
นิมิตฺเตน อนิมิตฺโต
ไม่มีนิมิตเพราะนิมิตนั้น ท่านกล่าวถึงความไม่มีนิมิต.
บทว่า ปณิธิยา มุจฺจติ ย่อมพ้นจากความปรารถนาอันเป็นที่ตั้ง. ปาฐะว่า
ปณิธิ มุจฺจติ มีอรรถเป็นปัญจมีวิภัตติ คือพ้นจากปณิธิ ด้วยบทนี้ท่าน
กล่าวถึงวิโมกข์. บทว่า ยตฺถ น ปณิทหติ บุคคลย่อมไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด
คือไม่ตั้งอยู่ในทุกข์ใด. บทว่า เตน สุญฺโญ เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์นั้น
คือว่างเปล่าจากทุกข์นั้น. บทว่า เยน สุญฺโญ เป็นผู้ว่างเปล่าจากอารมณ์ใด
คือว่างเปล่าจากทุกขนิมิตใด. บทว่า เยน นิมิตฺเตน เพราะนิมิตใด คือ
เพราะทุกขนิมิตใด. ด้วยบทนี้ว่า ตตฺถ น ปณิทหติ บุคคลไม่ตั้งอยู่
ในนิมิตนั้น ท่านกล่าวถึงความไม่ตั้งไว้. ด้วยบทนี้ว่า อภินิเวสา มุจฺจติ

พ้นจากความยึดมั่น ท่านกล่าวถึงวิโมกข์. บทว่า เยน สุญฺโญ เป็นผู้
ว่างเปล่าจากอารมณ์ใด คือเป็นผู้ว่างเปล่านิมิตคือความยึดมั่นใด. บทว่า เยน
นิมิตฺเตน
เพราะนิมิตใด คือ เพราะนิมิตคือความยึดมั่นใด. บทว่า ยตฺถ น
ปณิทหติ เตน สุญฺโญ
บุคคลไม่ตั้งอยู่ในอารมณ์ใด เป็นผู้ว่างเปล่าจาก
อารมณ์นั้น คือ ไม่ตั้งอยู่ในนิมิตคือความยึดมั่นใด เป็นผู้ว่างเปล่าจากนิมิต
คือความยึดมั่นนั้น ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึงเนื้อความสุญญตะ
พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงวิโมกข์ 8 เป็นต้นอีก จึงกล่าวคำ
มีอาทิว่า อตฺถิ วิโมกฺโข วิโมกข์มีอยู่ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทมีอาทิว่า
นิจฺจโต อภินิเวสา พ้นจากความยึดมั่น โดยความเป็นของไม่เที่ยง พึงทราบ
โดยนัยที่ท่านกล่าวแล้วในสัญญาวิโมกข์. บทว่า สพฺพาภินิเวเสหิ จากความ
ยึดมั่นทั้งปวง คือจากความยึดมั่นมีประการดังกล่าวแล้ว ด้วยประการฉะนี้
ชื่อว่าสุญญตวิโมกข์ ด้วยสามารถแห่งการพ้นจากความยึดมั่น. ชื่อว่าอนิมิตต-
วิโมกข์ ด้วยสามารถแห่งความพ้นจากนิมิตมีความเป็นสภาพเที่ยงเป็นต้น. ชื่อว่า
อัปปณิหิตวิโมกข์ ด้วยสามารถแห่งความพ้นจากความปรารถนาอันเป็นที่ตั้ง
มีความเป็นสภาพเที่ยงเป็นต้น.
อนึ่ง ในบทนี้ว่า ปณิธิ มุจฺจติ พึงทราบว่าเป็นปัญจมีวิภัตติในที่
ทั้งปวง แปลว่า พ้นจากปณิธิ หรือปาฐะว่า ปณิธิยา มุจฺจติ แปลอย่าง
เดียวกันว่า พ้นจากปณิธิ. มีตัวอย่างในบทนี้ว่า สพฺพปณิธีหิ มุจฺจติ พ้น
จากปณิธิทั้งปวง. ท่านกล่าวอนุปัสสนา 3 อย่างนี้ว่า วิโมกข์โดยปริยาย เพราะ
ความที่วิโมกข์เป็นองค์ของวิปัสสนานั้น และเพราะเป็นปัจจัยแห่งสมุจเฉท-
วิโมกข์.

บทว่า ตตฺถ ชาตา เกิดในมรรควิโมกข์นั้น ท่านอธิบายว่า เมื่อ
วิปัสสนาวิโมกข์แม้อยู่ในลำดับ กุศลธรรมทั้งหลายเกิดในมรรควิโมกข์นั้น
เพราะกถานี้เป็นอธิการแห่งมรรควิโมกข์. บทว่า อนวชฺชกุสลา กุศลธรรม
อันไม่มีโทษ คือกุศลปราศจากโทษมีราคะเป็นต้น หรือทำการตัดเด็ดขาด.
บทว่า โพธิปกฺขิยา ธมฺมา โพธิปักขิยธรรม (ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งความ
ตรัสรู้) คือโพธิปักขิยธรรม 37 ที่ท่านกล่าวไว้ คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน
4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8. บทว่า
อิทํ มุขํ นี้ ธรรมเป็นประธาน ท่านอธิบายว่า ธรรมชาติมีประการดังกล่าว
แล้วนี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นประธาน เพราะเป็นประธานแห่งการเข้าไปสู่นิพพาน
โดยอารมณ์. บทว่า เตสํ ธมฺมานํ แห่งธรรมเหล่านั้น คือแห่งโพธิปัก-
ขิยธรรมเหล่านั้น.
บทว่า อิทํ วิโมกฺขมุขํ นี้เป็นธรรมอันเป็นประธานแห่งวิโมกข์
คือ นิพพานเป็นนิสสรณวิโมกข์ ในบรรดาวิกขัมภนวิโมกข์ ตทังควิโมกข์
สุมุจเฉทวิโมกข์ ปฏิปัสสัทธิวิโมกข์ และนิสสรณวิโมกข์ นิพพานชื่อว่า
วิโมกฺขมุขํ เพราะเป็นประธานด้วยอรรถว่าสูงสุด ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขตธรรม หรืออสังขตธรรมมีประมาณเท่าใด
วิราคะท่านกล่าวว่า เลิศกว่าธรรมเหล่านั้น. ท่านกล่าวอรรถนี้ด้วยอำนาจแห่ง
กัมมธารยสมาสว่า วิโมกข์นั้นด้วยเป็นประธานด้วย ชื่อว่า วิโมกฺขมุขํ. ใน
บทว่า วิโมกฺขญฺจ นี้เป็นลิงควิปลาส. บทว่า ตีณิ อกุสลมูลานิ อกุศลมูล 3
คือ ราคะ โทสะ โมหะ. บทว่า ตีณิ ทุจฺจริตานิ ทุจริต 3 คือ กายทุจริต
วจีทุจริต มโนทุจริต. บทว่า สพฺเพปิ อกุสลา ธมฺมา อกุศลธรรมแม้

ทั้งหมด คืออกุศลธรรม สัมปยุตด้วยอกุศลมูล สัมปยุตและไม่สัมปยุตด้วย
ทุจริต เว้นโทมนัสที่ควรเสพเป็นต้น. บทว่า กุสลมูลสุจริตานิ สุจริตอัน
เป็นกุศลมูล พึงทราบโดยเป็นปฏิปักษ์กับทุจริตอันเป็นอกุศลมูลดังกล่าวแล้ว.
บทว่า สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา กุสลธรรมแม้ทั้งหมด คือกุศลธรรม
แม้ทั้งหมดเป็นอุปนิสัยแห่งวิโมกข์ สัมปยุตและไม่สัมปยุตด้วยกุศลมูลตามนัย
ดังกล่าวแล้ว. วิวัฏฏกถา (กถาว่าด้วยการหลีกออกไป) ท่านกล่าวไว้แล้วใน
หนหลัง. แต่ในที่นี้ท่านกล่าวถึงวิวัฏฏะที่เหลือโดยสัมพันธ์กับวิโมกขวิวัฏ-
บทว่า อาเสวนา การเสพ คือเสพแต่ต้น. บทว่า ภาวนา การเจริญ คือ
การเจริญแห่งวิโมกข์นั้นนั่นเอง. บทว่า พหุลีกมฺมํ การทำให้มาก คือทำ
บ่อย ๆ ด้วยการถึงความชำนาญแห่งวิโมกข์นั้น. อนึ่ง พึงทราบการเสพ
เป็นต้น ด้วยสามารถยังกิจให้สำเร็จในขณะเดียวแห่งมรรคนั่นเอง. บทมีอาทิ
ว่า ปฏิลาโภ วา วิปาโก วา การได้หรือวิบากมีอรรถดังได้กล่าวไว้แล้ว
ในหนหลังนั้นแล ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาวิโมกขกถา
แห่งสัทธัมมปกาสินี อรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค

มหาวรรค คติกถา


ว่าด้วยคติสมบัติ


[517] ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะ
ปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาล
เทวดาชั้นกามาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร เทวดาชั้นรูปาวจร
ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุเท่าไร เทวดาชั้นอรูปาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัย
แห่งเหตุเท่าไร.
ในกรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะปัจจัยแห่ง
เหตุ 8 ประการ กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาล เทวดา
ชั้นกามาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8 ประการ เทวดาชั้นรูปาวจร
เทวดาชั้นอรูปาวจร ย่อมอุบัติเพราะปัจจัยแห่งเหตุ 8 ประการ.
[518] ในธรรมอันสัมปยุตด้วยญาณ คติสมบัติย่อมมีเหตุเกิดเพราะ
ปัจจัยแห่งเหตุ 8 ประการเป็นไฉน.
ในขณะแล่นไปแห่งกุศลกรรม เหตุ 3 ประการเป็นกุศล เป็นสหชาต-
ปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะ
กุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะความพอใจ เหตุ 2 ประการเป็นอกุศล
เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
แม้เพราะอกุศลมูลเป็นปัจจัย ก็มีสังขาร ในขณะปฏิสนธิ เหตุ 3 ประการ
เป็นอัพยากฤต เป็นสหชาตปัจจัยแห่งเจตนาที่เกิดในขณะนั้น เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า แม้เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ก็มีวิญญาณ แม้วิญญาณเป็น